เจาะลึกวีซ่า E-2 Investor in US Business (นักลงทุนไทยในอเมริกา)

เจาะลึกวีซ่า E-2 Investor in US Business (นักลงทุนไทยในอเมริกา)

ก่อนอื่นต้องขอขอบคุณบทความดีๆ อย่างนี้จากเว็บไซต์ www.thaiusaconsulting.com โดยนางแหวนเพ็ชร วังคีรี โรลล์ (ผู้สอบบัญชีรับอนุญาต) ที่เปิดธุรกิจให้ความช่วยเหลือ แก่ชุมชนคนไทย ในอเมริกา ตั้งแต่ปี 2012 ทางด้านภาษีและธุรกิจทั่วไปสำหรับข้อมูลเรื่องวีซ่า E-2 แบบเจาะลึกที่ตอบข้อสงสัยนักลงทุนที่คิดจะสมัครวีซ่านี้ มาเริ่มกันเลยดีกว่าค่ะ

โดยทั่วไปประเทศอเมริกาเปิดกว้างมากสำหรับนักลงทุนจากต่างประเทศ (ไม่ใช่เฉพาะที่ประเทศไทย) มีวีซ่าลงทุนหลายประเภท ที่ต่างชาติสามารถขอได้ บางวีซ่า ที่มีเงินลงทุนสูงๆ ถึง $1 Millions สามารถขอกรีนการ์ดได้เลยเช่น วีซ่า EB2.

ในบทความจะกล่าวถึง E-2 Investor Visa หลัก ๆ เพราะ กลุ่มชนชั้นกลางในประเทศไทยของเรานิยมมาลงทุนกันเยอะมาก โดยเฉพาะกิจการร้านอาหาร ที่ขอวีซ่าลงทุนได้ง่าย และสามารถทำเรื่องขอจ้าง chef หรือพ่อครัวแม่ครัวโดยตรงจากเมืองไทย มาได้ทั้งครอบครัว ค่าธรรมเนียมที่ทาง USCIS เรียกเก็บก็ไม่ได้แพงมาก ที่แพง คือค่าดำเนินการด้านเอกสารต่างๆ จากที่พบมา ค่าบริการ ในการดำเนินการประมาณ $5,000 – $10,000 โดยประมาณ พร้อมค่าธรรมเนียมต่าง ๆ.

ทำไม E-2 Investor Visa ช่างเป็นที่นิยมอย่างยิ่ง

ถึงแม้ว่า วีซ่าประเภทนี้ไม่สามารถ เปลี่ยนเป็น กรีนการ์ด ได้ในอนาคต แต่ไม่มีข้อจำกัด ในการต่ออายุ ต่อได้เรื่อยๆ คราวละ 2 ปี ตราบใดที่กิจการมีการยื่นภาษีตามกฏหมายและการรายงานค่าแรง ไปยัง the IRS. นักลงทุน และ พ่อครัว หรือ แม่ครัว สามารถ ทำวีซ่าติดตามให้กับครอบครัว รวมถึงลูก ๆ ที่อายุไม่เกิน 21 ปี ลูก ๆ มีสิทธิ์เข้าโรงเรียนของรัฐบาล ได้เหมือนคนอเมริกัน ทั่วไป ตามที่กฏหมายได้ระบุไว้

รูปแบบของกิจการที่นักลงทุนควรพิจารณา LLC or Corporation?

ตามกฏหมายภาษีอาการ ต่างชาติ (บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล) สามารถ ทำธุรกรรมทางการเงินได้หลายแบบ ทั้งแบบ Limited Liability Company (LLC) และ หรือ Corporation (C-Corp). ข้อที่ควรทราบคือ Small Corporation (S-Corp) ไม่อนุญาตให้ต่างชาติ ทำได้คะ กฏหมายเขียนไว้อย่างชัดเจนมาก ถ้าปัจจุบันกิจการอยู่ในรูป S-Corp แล้ว ทันทีที่มีผู้ถือหุ้นต่างชาติ จะเป็นโมฆะ กลายเป็น Corporation (C-Corp) ทันทีคะ อ้างอิงที่เว็บไซด์ the IRS คลิกที่ลิงค์ S Corporations Requirement.  ไม่พูดถึงประเภทธุรกิจแบบอื่น ๆ เช่น ทรัส นะคะ เพราะ ต้องอ้างกฏหมายภาษีต่างกันคะ.

ข้อดีและข้อเสียของการจดทะเบียนบริษัท ทั้ง 2 ประเภท (LLC & C-Corporation).

Limited Liability Company (LLC) แบบแสดงภาษี Form 1065

  • ตามประสบการณ์ การจดทะเบียนง่ายกว่า ส่วนใหญ่ค่าธรรมเนียมจะถูกกว่า แบบ คอรปอเรชั่น แต่ไม่ทุกรัฐนะคะ บางรัฐ เช่น New York แพงกว่าคะ ต้องประกาศทางหนังสือพิมพ์ ยุ่งยากกว่าด้วย และใช้เวลา มากมากว่า 30 วันถึงจะมีผลในทางกฏหมาย
  • ไม่ต้องมีใบหุ้นคะ การแบ่งผลกำไรขาดทุน ตกลงกันได้ใน Operating agreement
  • กำไรและขาดทุน ผ่านตรงมายัง สมาชิก (member) ตามอัตราส่วนที่ระบุไว้ใน Operating agreement
  • ไม่มีภาษีในตัวบริษัท
  • มี self-employment tax at 15% (7.65% employer + 7.65% employee) จากกำไรสุทธิที่แบ่งให้กับสมาชิกในบริษัท เช่น มีสมาชิก 2 คน แบ่งกำไรคนละ $15,000 เสียภาษี self-employment taxes ที่ $2,295 แต่ ครึ่งหนึ่งของภาษีเอามาหักออกจาก ภาษีเงินได้ที่ต้องเสียทั้งหมดได้ที่ $1,147.50 สรุปคือมีภาษีที่ $1,147.50.
  • ไม่สามารถเลือกที่จะยื่นภาษีแบบ S-Corporation ได้ เพราะ มีคนต่างชาติถือหุ้น ถ้าธุรกิจมีกรีนการ์ด หรือ อเมริกัน ร่วมทุนด้วยจะทำให้ ฝ่ายนี้เสียเปรียบเพราะต้องเสียภาษีเพิ่มขึ้น.
  • ถ้ามีผู้ถือหุ้นที่อยู่ต่างประเทศ (อยู่อเมริกาต่ำกว่า 183 วัน) เมื่อกิจการมีกำไรต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่ายไว้ที่ 30% ของกำไรสุทธิ ตัวอย่างเช่น กิจการ มีบริษัทต่างชาติ หรือ คนไทยที่อยู่นอกอเมริกา ถือหุ้นด้วย ถึงแม้จะไม่มีการจ่ายเงินผลกำไรออกไป บริษัทมีหน้าที่หัก ภาษี ณที่จ่ายไว้และนำส่งไปยัง the IRS. (ยุ่งยากมากขึ้นเลย ลูกค้าเราไม่จด LLC คะ จดอีกแบบให้).

Corporation (C-Corp) แบบแสดงภาษี Form 1120

  • ตามประสบการณ์ การจดทะเบียนมีขั้นตอนมากกว่า จดแบบ LLC และค่าธรรมเนียมจะมากกว่า เช่น ที่ แคลิเฟอเนีย รัฐอื่นๆ เช่น อริโซน่า ไม่แตกต่างกันเลย ส่วน ยูท่าร์ ไม่แตกต่างกันมาก เช่นกัน บางรัฐต้องประกาศทางหนังสือพิมพ์ และใช้เวลา มากมากว่า 30 วันถึงจะมีผลในทางกฏหมาย
  • ต้องมีใบหุ้นคะ การแบ่งผลกำไรขาดทุน ตามหุ้นที่ถือ การจ่ายผลกำไรออกไปเรียกว่าการจ่ายเงินปันผล
  • กำไรสุทธิ จากการกิจการต้องเสียภาษีที่ อัตรา 30% – 34%
  • เงินปันผลที่จ่ายให้ผู้ถือหุ้น ถือเป็นรายได้เงินปันผลของผู้ถือหุ้น และต้องนำไปรวมในการคำนวณภาษี รวมกับรายได้ประเภทอื่น ๆ เงินปันผล ถ้าถือหุ้นมากกว่ากว่า 1 ปี เรียกว่า long term capital gain อัตราภาษีจะอยู่ที่ 15% – 20% ถ้าไม่มีการจ่ายเงินปันผลจะไม่มีภาระภาษีในจุดนี้คะ
  • ไม่มี self-employment tax at 15% เหมือนกับ LLC ดังนั้น ผู้ถือหุ้นที่มีกรีนการ์ด และอเมริกัน ไม่เสียเปรียบในเประเด็นนี้.
  • ไม่สามารถเลือกที่จะยื่นภาษีแบบ S-Corporation ได้ เพราะ มีคนต่างชาติถือหุ้น ถ้าธุรกิจมีกรีนการ์ด หรือ อเมริกัน.
  • ไม่ต้องหัก ภาษี ณ ที่จ่ายไว้ที่ 30% ของกำไรสุทธิกรณีมีผู้ถือหุ้นต่างชาติเหมือนกับ LLC

จดทะเบียนบริษัทแบบไหนดี (ความเห็นส่วนตัวขอบคุณแหวนเพ็ชร)

ลูกค้าส่วนใหญ่มีการจดทะเบียนทั้ง สองแบบคะ เพราะไม่ได้เป็นคนจดทะเบียนให้เขา ลูกค้าทำกันเอง มีกรณีที่ลูกค้ามาใช้บริการทำเอกสาร E-2 Investor Visa จะมีการคุยกันก่อนทั้งข้อดีและข้อเสีย ล่าสุดจดทะเบียนที่รัฐ Florida as Corporation (C-Corp) ให้ลูกค้าคะ เพราะมีผู้ถือหุ้นเป็นพลเมืองที่นี่ และง่ายในการออกใบหุ้น การจดแบบ LLC ที่รัฐเดียวกันก็ไม่ยุ่งยากอะไรคะ ที่เลือกจดแบบ C-Corp เพราะ รู้ว่ากิจการมีการจ่ายเงินเดือนให้กับเจ้าของกิจการและมีการจ้าง chef พ่อครัวแม่ครัวมาจากเมืองไทย และพนักงานทุกคนในร้านพยายามยื่นภาษีให้ถูกต้อง และไม่คาดว่ากิจการจะมีผลกำไรมากหมาย ช่วง สามปีแรก ตามที่ได้ประมาณการไว้ ถึงแม้ว่ามีผลกำไร ก็คงยังจะไม่มีการจ่ายเงินปันผล เพื่อหลีกเลี่ยง การเสียภาษีซ้ำซ้อน และทราบว่าในอนาคตทางลูกค้าจะมีการขยายกิจการ และมีการออกหุ้นเพิ่ม หรือ ขายกิจการปัจจุบันเพื่อซื้อกิจการแห่งใหม่.

การเลือกรูปแบบการจดทะเบียนบริษัท ควรมีการวางแผนคะ ว่า แนวทางของธุรกิจจะออกมาในรูปแบบไหน มีคนอเมริกัน หรือ กรีนการ์ดร่วมหุ้นด้วยหรือไม่ และการวางแผนระยะยาวจะทำอย่างไร

อเมริกัน (US Citizen) หรือ กรีนการ์ด (Green card holder) ต้องการลงทุนกับ E-2 Investor

ควรจะเลือกจดทะเบียนแบบ C-Corp คะ เพราะป้องกันการเสีย self-employment taxes เว้นแต่ว่าคุณลงทุนเอง กรณีนี้คุณสามารถเลือก S-Corp ได้ จะจดแบบ LLC or C-Corp แล้วเลือกยื่นภาษีแบบ S-Corp ได้ทั้งสองกรณีคะ มีค่าเท่ากัน และก็มีผลดีซะส่วนใหญ่ ขึ้นอยู่กับว่าคุณอยู่รัฐไหนคะ ผลประโยชน์ในการจดทะเบียนแตกต่างกันออกไป

Visa ประเภทไหน ที่สามารถใช้สิทธิ์ยื่นภาษีแบบ เรสสิเด้นตามกฏหมายภาษีได้

ทุกวีซ่าเปลี่ยนเป็น E-2 Investor ได้หมดคะ ถ้าอยู่ที่นี่แล้วสามารถทำเรื่องเปลี่ยนสถานะได้ง่ายกว่าคะ ส่วนใหญ่ไม่ได้ถูกเรียกตัวเพื่อเข้าสัมภาษณ์ แค่ขอเอกสารเพิ่มเติมก่อนที่จะอนุมัติให้วีซ่าได้ แต่มีข้อแม้ว่า ห้ามอยู่เกิน สถานะวีซ่าต้องไม่ขาด Overstayed ไม่ได้เลยคะ

ไม่ต้องการเปลี่ยนวีซ่าเป็นนักลงทุนก็ได้คะ แต่ถ้ามาด้วยวีซ่า “F”, “J”, “M”, or “Q  กลุ่มนี้ยังไงก็ใช้สิทธิการเสียภาษีแบบ เรสสิเด้น (resident) ไม่ได้เลย กฏหมายตั้งข้อยกเว้นไว้ชัดเจน เช่นวีซ่านักเรียน F1 ไม่ต้องเสียประกันสังคม ถ้ามาทำงาน แต่ถ้าลงทุนในธุรกิจประเภท LLC เมื่อกิจการมีกำไรสุทธิ กิจการมีหน้าที่หัก ภาษี ณ ที่จ่ายไว้ที่ 30% พร้อมนำส่งไปยัง the IRS คะ   กฏหมายอ้างอิงตามลิงค์ คะ Foreign Persons  เรสสิเด้นไม่ใช่แค่กรีนการ์ดนะคะ วีซ่าตัวอื่นๆ ก็ถือว่าเป็นเรสสิเด้น อยู่เกินก็เรสสิเด้นคะ ถ้าอยู่อเมริกามากกว่า 183 วัน ตามกฏ Present Test คะ อ่านเพิ่มเติมได้คะ ตามลิงค์Publication 519, U.S. Tax Guide for Aliens.

คุณสมบัติของ E-2 Investor Visa

  • นักลงทุน เป็นบุคคลธรรมดา หรือ นิติบุคคลต่างประเทศ ที่มีอนุสัญญา ระหว่างประเทศ อเมริกา ประเทศไทยรวมอยู่ด้วยค่ะ ส่วนใหญ่ประเทศในเอเชีย มีคุณสมบัติทำวีซ่าประเภทนี้ได้ รวมถึง ใต้หวัน เกาลี  อาจจะมีมากกว่านี้คะ ต้องดูเป็นประเทศไป  ยุโรปก็เยอะด้วยคะ
  • ต้องเป็นพลเมืองของประเทศนั้น ๆ เช่น เราคนไทย มาลงทุน หรือ บริษัทที่จดทะเบียนที่ประเทศไทย
  • กรณีบริษัทไทยมีผู้ถือหุ้นต่างชาติ คนไทยต้องมีหุ้นมากกว่า ครึ่งค่ะ ถึงได้สิทธิ์ขอวีซ่าประเภทนี้
  • นักลงทุนต้องเข้ามาประเทศอเมริกา เพื่อบริหารกิจการค่ะ
  • กรณีเราจะนำ Chef พ่อครัว หรือแม่ครัว บุคคลเหล่านั้นต้องเป็นคนสัญชาติเดียวกับ นักลงทุนคะ เช่น เราคนไทย นำ พ่อครัวแม่ครัวคนไทยมาได้เท่านั้น

*ภรรยา หรือ สามี ของ นักลงทุน และ พ่อครัว หรือ แม่ครัว สามารถ ขอวีซ่าทำงานได้แบบถูกกฏหมาย และสามารถทำงานที่ไหนก็ได้ค่ะ ไม่จำเป็นต้องเป็นที่เดียวกับนักลงทุน  ส่วนลูก ๆ ไม่อนุญาตให้ขอวีซ่าทำงานค่ะ (เนื่องจากทาง USCIS ไม่ได้ระบุให้ขอได้ จึงคิดว่าขอไม่ได้ค่ะ)

เงินลงทุน Funding

ข้อกำหนดเกี่ยวกับเงินลงทุนมีปลีกย่อยเยอะพอสมควร USCIS ระบุไว้บางอย่างชัดเจน บางอย่างไม่ชัด เจน แหวนแสดงความเห็นตามประสบการณ์ในฐานะ นักบัญชีค่ะ

  • เงินลงทุนนั้น ต้องเพียงพอที่จะลงทุน และเพียงพอต่อการบริการกิจการอย่างต่อเนื่อง คือถ้าลงทุนไปแล้ว ถ้ามีผลขาดทุน เราก็ทำอะไรไม่ได้มาก เช่น เราลงทุนในการสร้างโรงงานเพื่อผลิต สินค้าส่งออก เราทำแผนการตลาดผิดพลาด เราขาดทุน ยับเยิน เงินนั้นก็สูญ USCIS ใช้คำว่า “funds have to be “irrevocably” . (ไม่ใช่กรณี เราซื้อหุ้น แล้วไม่พอใจในหุ้น เราเปลี่ยนไปซื้อหุ้นตัวใหม่ หรือขายหุ้นออกมา)
  • ต่อเนื่องจากที่กล่าวมา เงินลงทุนประเภท ตราสารหุ้น การเก็งกำไร (Speculate) ไม่ได้เลย เช่น ลงทุน พวก อสังหาริมทรัพย์ บ้านเช่า ซื้อขายหุ้น ซื้อที่ดินเปล่า เพื่อเก็งกำไร แต่ถ้าซื้อที่ดินมาเพื่อสร้างตึก สร้างบ้านนี่ได้นะค่ะ ไม่ใช่ซื้อที่ดินทิ้งไว้ สรุปคือ ต้องลงทุนใน Active investment NOT Passive Investment.
  • ต้องทำแผนธุรกิจที่ระบุว่ากิจการจะมีผลกำไรในอนาคต ไม่ใช่แค่พอดูแลครอบครัวหรือแค่จ่ายเงินเดือนให้พนักงานเพียงพอ Financial ratio ต้องทำไว้ในแผนธุรกิจ return on investment ต้องเหมาะสม กรณีลูกค้าแหวนจะดูถึงความเป็นไปได้ ถ้าเป็นการซื้อกิจการที่มีอยู่แล้ว เช่นร้านอาหารเดิม จะใช้ยอดขายเดิม และก็วางแผนว่าจะเพิ่มยอดขายขึ้นเพื่อกิจการจะได้มีกำไรในอนาคต. โดนทั่วไป ทุกกิจการที่ลงทุนใน ช่วง 1-3 ปีแรก จะไม่มีผลกำไรมากมายเพราะลงทุนสูง บางกิจการมีกำไรตั้งแต่ปีแรก ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัยที่ต้องมาพิจารณา. การเขียนแผนธุรกิจ Business plan ต้องมีการวิเคราะห์ จุดอ่อน จุดแข็ง คู่แข่ง SWOT analysis ขึ้นอยู่กับกิจการ ที่จะลงทุน. กิจการประเภทนำเข้าส่งออกจะแตกต่างกับร้านอาหารพอสมควร และการวิเคราะห์จากยากกว่า (ตามประสบการณ์ที่เห็นมา)
  • นักลงทุนต้องมีอำนาจในการควบคุมเงินลงทุนของกิจการ ตัวอย่างเช่นเงินที่นำมาลงทุน ต้องไม่ใช่เงินกู้ทั้งหมด ถ้าใช้กิจการเพื่อค้ำประกันในวงเงินกู้ จะไม่มีคุณสมบัติในการขอวีซ่าประเภทนี้ ฉะนั้นแหล่งที่มาของเงินต้องเป็นเงินของนักลงทุนเอง หรือเงินที่ได้มาจาก ครอบครัว และไม่มีภาระในการจ่ายคืน กรณีกู้ยืมกันเองภายในครอบครัว ไม่ควรจะแสดงว่ายืมในทางเอกสาร ถ้าจะคืนเงินให้ครอบครัว ให้ใช้วิธีการให้แบบเสน่หา ซึ่งให้ได้ไม่เกินปีละ $14,000/year (ชี้โพรงให้กระรอกนิดหน่อย อิอิ). ทางรัฐบาลไม่ได้กำหนดถึงการห้ามการกู้เงิน การกู้ต้องอยู่ในอัตรส่วนที่เหมาะสม ทุกธุรกิจมีการกู้ยืมเงินเพื่อใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน แต่ไม่ควรเกิน 40% of total funding เช่น ลงทุน $100,000 กู้ได้ไม่เกิน $40,000.

เมื่อวีซ่าการลงทุนสิ้นสุด E2 Termination

นักลงทุนต้องออกจากประเทศ เช่น รัฐบาลจะให้นักลงทุนขออนุญาต อยู่ต่อทุก ๆ 2 ปี กรณี ที่รัฐบาลไม่อนุมัติให้ต่อวีซ่า นักลงทุนต้องออกจากประเทศทันที

ถ้าพนักงานระดับบริหารเช่น chef หรือพ่อครัวแม่ครัว หนีวีซ่าละควรทำอย่างไร

กรณีแบบนี้ นายจ้างต้องแจ้งยกเลิกไปทาง รัฐบาล และพนักงานต้องออกจากประเทศตามที่ตกลงไว้ เว้นแต่ว่า พนักงาน ได้งานใหม่และทำงานให้นักลงทุน และนักลงทุน สปอนเซ้อวีซ่าให้ถูกต้อง พนักงานถึงมีสิทธิ ทำงานและอยู่ในประเทศแบบถูกกฏหมายได้.

ธุรกิจอะไรบ้างที่ทางประเทศสหรัฐอเมริกา อนุญาตให้ลงทุนได้

มีธุรกิจหลายประเภท ที่อนุญาต ให้ลงทุน อาจจะเกือบทุกประเภท เช่น ร้านอาหาร ร้านนวด ขายของ นำเข้า ส่ง ออก ผลิต สารพัด   ทางรัฐบาลไม่ได้ตั้งข้อกำหนดถึงประเภทกิจการที่จะลงทุน

ธุรกิจที่ไม่สามารถขอวีซ่านักลงทุนได้

รัฐบาลได้กำหนดไว้ชัดเจนว่าธุรกิจประเภทเก็งกำไร (Speculation) ไม่อยู่ในคุณสมบัต เช่น การซื้อขายหุ้น การซื้อบ้านที่ดิน เพื่อเก็งกำไร การซื้อขายที่ดิน ที่ไม่ได้หวังจะปรับปรุง ก่อสร้าง Passive investment จะไม่อยู่ในข่าย.

ต้องการมาลงทุนที่อเมริกา ด้วยวีซ่า ประเภทนี้ควรเตรียมตัวอย่างไร

เนื่องจากทาง รัฐบาลอเมริกา ไม่ได้ระบุไว้ชัดเจนทุกประเด็น แม้กระทั่งเงินทุนขั้นต่ำที่นักลงทุนต้องนำมาลงทุน แต่รัฐบาลได้พูดถึงกิจการขนาดเล็ก ที่จัดอยู่ในวีซ่าประเภทนี้ (ตามที่ศึกษาโดยทั่วไป กิจการที่เรียกว่าเป็นธุรกิจขนาดเล็ก คือมีเงินลงทุนต่ำกว่า $100,000)

กิจการขนาดใหญ่เช่นวีซ่า EB5, EB2 ที่มีเงินลงทุนขั้นต่ำที่ $1 Millions หรือ ลงทุน $500,000 สำหรับกิจการที่ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง (ซื้อกิจการต่อหรือร่วมทุนกับกิจการที่ดำเนินการอยู่แล้ว).

  1. เลือกประเภทกิจการที่จะลงทุน เช่น ต้องการซื้อร้านอาหาร ควรจะเลือกทำเล ราคาที่ขายเหมาะสมหรือไม่ ปัจจัยการเลือกซื้อร้านต้องดูทำเล ดูกลุ่มลูกค้า ดูรายได้ของกลุ่มลูกค้าในทำเลนั้น ทำเลสวย ราคาแพง ทำเลปาน ราคาอาจจะถูกลง
  2. การทำ due diligence หรือการตรวจสอบธุรกิจก่อนการซื้อ ตรวจสอบภาษีที่ค้าง การวิเคราะห์งบการเงินเพราะต้องใช้มาทำแผนธุรกิจ
  3. การทำสัญญาซื้อขาย ให้รัดกุมและป้องกันปัญหาที่อาจจะเกิดขึ้น เช่น ทำสัญญาซื้อขาย กรณีที่มีการซื้อกิจการ 100% อย่างน้ำคือ 50% มีกรณีที่ไม่ได้ทำสัญญาซื้อขาย เจ้าของร้านเดิม ขายร้านแล้วมาเปิดแข่งกับกิจการปัจจุบันซึ่งอยู่ในทำเลเดียวกัน ต้องป้องกันจุดนี้ด้วยค่ะ
  4. ถ้ากิจการจดทะเบียนรูปแบบ Corporation มีการทำการออกหุ้นเพิ่ม หรือการโอนหุ้นระหว่างผู้ถือหุ้นเดิมและนักลงทุน (วิธีนี้เหมาะสม สำหรับกิจการที่มีพี่น้องร่วมทุน) ถ้ากิจการเดิม จดทะเบียนรูปแบบอื่น ๆ ให้ตั้งบริษัทขึ้นมาเพื่อซื้อกิจการ  แนะนำให้ตั้งบริษัทใหม่ทุก ๆ กรณี เพื่อหลีกเลี่ยงภาระภาษี หรือหนี้ค้างต่าง ๆ
  5. การตรวจสอบ ลายเซ่นการกอบธุรกิจต่าง ๆ ก่อนซื้อ เช่น ลายเซ่นการขาย แอลกอฮอลล์
  6. การวางแผนเกี่ยวกับการชี้แจงแหล่งที่มาของเงิน อย่างที่กล่าวไปแล้วข้างต้น เงินทุนต้องไม่ใช่มาจากการกู้ยืมทั้งก้อน กู้ได้แต่ห้ามเกิน อัตราส่วนที่เหมาะสมคือ 40% มีการแสดงรายละเอียดการนำเงินเข้ามาลงทุน ที่มาที่ไปของเงิน
  7. ที่เห็นกันคือ พี่ให้น้อง น้องให้พี่ แม่ให้ลูก หรือเรียกว่าของขวัญ ให้ระวังกรณีที่พี่ให้น้อง แล้วพี่เป็นเจ้าของกิจการที่อเมริกา และต้องการให้น้องมาลงทุน ของขวัญจากพ่อแม่ให้ลูก ๆ เพื่อใช้ในการลงทุน ถือว่าเป็นเรื่องปกติ และไม่มีปัญหาในการอนุมัติวีซ่าจากกงศุลที่ประเทศไทย หรือจาก เจ้าหน้าที่ที่อเมริกา.
  8. การเตรียมตัวเรื่องเอกสารต่าง ๆ เช่น การแปลเอกสาร ทะเบียนราษฎ์ การแปล หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่าย การแปลแบบแสดงรายการภาษี หรือ เงินกู้ต่าง ๆๆ

ทำเอกสารขอวีซ่านักลงทุนเอง หรือ ใช้ทนายดี

ถ้าคุณภาษาอังกฤษคล่อง เขียนแบบภาษาราชการได้ และเข้าใจภาษาอังกฤษดี มีพื้นฐานทางธุรกิจ คุณสามารถทำเรื่องเองได้ค่ะ ศึกษาขั้นตอนให้ละเอียด โดยตรงจากเวบไซด์ของ USCIS หรือ จากทางเวบของสถานทูตอเมริกาได้ กรณีที่ขอวีซ่าจากเมืองไทย

ถ้าไม่มีคุณสมบัติข้างต้น ควรจะใช้บริการของทนาย หรือจากผู้ที่มีประสบการณ์ ก่อนจะใช้บริการจากทนาย หรือผู้มีประสบการณ์ควรศึกษาข้อมูล หรือประวัติของบุคคลเหล่านั้น

การเปรียบเทียบราคาค่าบริการ กับบริการที่จะได้รับควรมีการตรวจสอบด้วย

เช่น ทนายคิดค่าบริการขั้นต่ำที่ $5,000 ในการยื่นเอกสาร เราต้องทำแผนธุรกิจ Business plan ทำสัญญาซื้อขาย Buy Sell agreement  จดทะเบียนบริษัท Forming business , และ ทำ due diligence ด้วยตัวเราเอง และที่สำคัญเราต้องหาผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เพื่อเซ็นรับรองสินทรัพย์ของกิจการที่ซื้อเองด้วยนั้น ส่วนตัวคิดว่าไม่คุ้มค่ะ ถ้าคุณสามารถทำทุกอย่างเองได้ขนาดนี้ให้ทำเองดีกว่าค่ะ ประหยัดเงิน

สำหรับการใช้บริการของกลุ่มที่ไม่ใช่ทนายความเช่นผู้สอบบัญชีรับอนุญาต เราก็ควรจะตรวจสอบคุณสมบัติและความน่าเชื่อถือด้วยค่ะ เพราะ ถึงแม้ว่ากฏหมายด้านจรรยาบรรณฉบับเดียวกันทั่วประเทศ คนนำไปประยุกต์ใช้และตีความยังแตกต่างกันออกไป

*ควรตรวจสอบกับทนายความหลาย ๆ แหล่งค่ะ เพื่อเปรียบเทียบราคาและบริการที่จะได้รับ (เตือนแล้วนะค่ะ ไม่ใช่ว่าจะไม่เตือน)

Share This Post!

19,010 views

Newsletter Subscription

สนใจรับข่าวสารและกิจกรรมที่เป็นโอกาสของไทย
Email Address
Secure and Spam free...
Go to Top