Border Adjusted Tax อีกหนึ่งเงื่อนไขที่อาจเป็นปัญหากับสินค้านำเข้าสหรัฐฯ

Border Adjusted Tax อีกหนึ่งเงื่อนไขที่อาจเป็นปัญหากับสินค้านำเข้าสหรัฐฯ

Photo Credit: Globethailand.com

แผนปฏิรูประบบการเก็บภาษีรายได้สหรัฐฯ

เดือนมิถุนายน 2016 สมาชิกพรรครีพับบริกันในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ นำโดย Paul Ryan โฆษกสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ ได้จัดทำพิมพ์เขียวการปฏิรูประบบการเก็บภาษีรายได้ของสหรัฐฯ ที่เน้นการลดภาษีรายได้ทั้งที่เป็นของส่วนบุคคลและของธุรกิจภายหลังจากที่นาย Donald Trump ได้รับเลือกขึ้นเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ และพรรครีพับบริกันกลายเป็นเสียงข้างมากในรัฐสภาสหรัฐฯ ทำให้แผนปฏิรูปการเก็บภาษีรายได้นี้มีแนวโน้มมากยิ่งขึ้นที่จะประสบความสำเร็จ ถ้า Trump เลือกที่จะสนับสนุนการปฏิรูปการเก็บภาษีแทนที่นโยบายของตนเองที่เป็นการขึ้นภาษีนำเข้า

Border Adjusted Tax ไม่ใช่ import tax 

ตอนหนึ่งในแผนปฏิรูปการเก็บภาษีรายได้ธุรกิจเสนอการเปลี่ยนระบบการเก็บภาษีรายได้ธุรกิจเข้าสู่การเป็น “destination-based cash flow tax” ที่มีหัวใจสำคัญอยู่ที่การเก็บภาษีในลักษณะ “border adjusted” ซึ่งเป็นหัวข้อที่ได้รับความสนใจมากที่สุดในแผนปฏิรูปการเก็บภาษีรายได้ที่พรรครีพับบริกันเสนอ

Border Adjusted Tax ไม่ใช่ Tariff และไม่ใช่ Value-Added Tax แต่มีความคล้ายคลึงกัน Border Adjusted Tax เป็นการเก็บภาษีในลักษณะ destination-based หรือ destination-based cash flow tax คือการเก็บภาษีโดยพิจารณาที่มาของสินค้าและบริการนั้นๆถูกบริโภคภายในประเทศสหรัฐฯ แต่ไม่รวมสินค้าและบริการที่ผลิตในสหรัฐฯ และถูกนำไปบริโภคนอกประเทศสหรัฐฯ

การเก็บภาษีบริษัทธุรกิจของสหรัฐฯ ในปัจจุบันใช้ระบบ worldwide tax system หรือการเก็บภาษีทั่วโลกซึ่งหมายถึง ผลกำไรที่บริษัทอเมริกันได้มาจากการค้าทั่วโลกจะถูกเก็บภาษี จำนวนเงินแท้จริงที่จะถูกนำไปใช้ในการคำนวนภาษีคือผลกำไรที่ทำได้ในต่างประเทศเมื่อนำกลับเข้าสหรัฐฯ ลบด้วยจำนวนภาษีที่บริษัทต้องจ่ายไปในต่างประเทศสำหรับรายได้ดังกล่าว สำหรับธุรกิจในประเทศจำนวนเงินแท้จริงที่จะถูกนำไปใช้ในการคำนวนภาษีคือรายได้ลบค่าใช้จ่ายซึ่งในที่นี้รวมถึงเช่น ค่าภาษีท้องถิ่นและภาษีมลรัฐ ค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ถูกจำหน่ายออกไป ค่าดอกเบี้ย และค่าใช้จ่ายอื่นๆที่เป็นการลงทุนทำธุรกิจขายสินค้า อัตราภาษีที่บริษัทธุรกิจสหรัฐฯ จะต้องเสียในปัจจุบันประมาณร้อยละ 35

ในแผนปฏิรูปการเก็บภาษีรายได้ของภาคธุรกิจได้มีการระบุข้อเสนอรายการหนึ่งว่า

  1. ให้สร้างระบบการเก็บภายในเขตแดนหรือ territorial tax system
  2. ลดอัตราภาษีที่บริษัทธุรกิจจะต้องจ่ายชำระลงเหลือประมาณร้อยละ 20
  3. ให้เก็บภาษีเฉพาะปฏิบัติการต่างๆของบริษัทที่เกิดขึ้นในสหรัฐฯเท่านั้น
  4. ยกเลิกการเก็บภาษีจากเงินกำไรที่บริษัทสหรัฐฯสร้างขึ้นในต่างประเทศ
  5. สร้างระบบเก็บภาษีในลักษณะ border adjusted คือ รายได้จากการขายให้แก่คนต่างชาติจะไม่ถูกเก็บภาษี ค่าใช้จ่ายของสินค้าที่ซื้อมาจากต่างชาติจะไม่สามารถนำมาหักภาษีได้อีกต่อไป ยกตัวอย่าง ถ้าบริษัทอเมริกันซื้อสินค้ามาจากผู้จัดหาอุปทานในต่างประเทศ เงินค่าใช้จ่ายจำนวนนั้นจะไม่สามารถนำมาหักภาษีรายได้ของบริษัท แต่ถ้าบริษัทอเมริกันขายสินค้าให้แก่ต่างชาติ รายได้จำนวนนั้นได้รับการยกเว้นจากการนำไปคำนวนเพื่อเสียภาษีรายได้

แม้ว่าหลายๆ คนจะมองว่า border adjusted tax สร้างขึ้นมาเพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่การการส่งออกของสหรัฐฯ และเพื่อสร้างความได้เปรียบให้แก่บริษัทสหรัฐฯ ในสนามการค้าโลก แต่พรรครีพับบริกันได้ปฏิเสธความคิดดังกล่าวและระบุว่า แผนปฏิรูปการเก็บภาษีนี้ไม่ใช่ Tariff และจะไม่ช่วยสหรัฐฯ ให้ได้เปรียบในการค้าหรือช่วยเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดโลกให้บริษัทสหรัฐฯ เนื่องจากระบบ border adjusted tax จะถูกนำมาใช้กับสินค้าทั้งที่ผลิตในประเทศสหรัฐฯ และที่นำเข้าไปยังสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี การที่สินค้าที่ผลิตในสหรัฐฯ เพื่อการส่งออกไปบริโภคนอกประเทศสหรัฐฯไม่ต้องเสียภาษี border adjusted tax อาจจะทำให้บริษัทสหรัฐฯ สามารถขายสินค้าในตลาดต่างประเทศได้ในราคาต่ำที่อาจไปกระตุ้นความต้องการสินค้าสหรัฐฯ และความต้องการดอลลาร์เพื่อนำมาซื้อสินค้าเหล่านั้น เงินดอลลาร์ที่ได้รับจากการขยายและความต้องการเงินดอลลาร์ที่เพิ่มขึ้นจะไปเพิ่มมูลค่าของเงินดอลลาร์ในตลาดการเงินระหว่างประเทศซึ่งอาจจะสูงขึ้นระหว่างร้อยละ 20 – 25 ผลที่ตามมาก็คือผู้ผลิตในสหรัฐฯ มีค่าใช้จ่ายลดลงจากความแข็งของค่าเงินดอลลาร์

สิ่งที่พรรครีพับบริกันคาดหวังว่าจะได้จากการจัดทำ Border Adjusted Tax

สิ่งทึ่รีพับบริกันคาดหวังว่าจะได้จาก border adjusted tax คือ การขยายฐานภาษีออกไปจะทำให้รัฐบาลกลางสหรัฐฯมีรายได้จากการเก็บภาษีเพิ่มขึ้นซึ่งมีประมาณการว่าอาจจะสูงถึง 1 ล้านล้านเหรียญฯหรือมากกว่านั้นภายในระยะ เวลาสิบปี เป็นการยากมากยิ่งขึ้นที่บริษัทอเมริกันจะย้ายฐานการผลิตออกไปนอกประเทศสหรัฐฯ บริษัทอเมริกันสามารถนำผลกำไรที่ทำได้ในต่างประเทศกลับคืนเข้าสู่สหรัฐฯได้ และเนื่องจาก border adjusted tax ไม่ใช่ tariff และ border adjusted tax มีแนวโน้มที่จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์แข็งมากยิ่งขึ้น ดังนั้นผู้บริโภคจึงไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่มขึ้นในการบริโภคสินค้านำเข้า

ความเสี่ยง

ผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับระบบ Border Adjusted Tax ได้แสดงความคิดเห็นถึงความเสี่ยงที่จะมาจากระบบ Border Adjusted Tax

  1. ความเสี่ยงที่สำคัญที่สุดอยู่ที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ถ้าค่าเงินดอลลาร์ไม่แข็งขึ้นตามความคาดหมาย ราคาสินค้าสำหรับผู้บริโภคสหรัฐฯ ทั้งที่เป็นสินค้านำเข้าและสินค้าที่ผลิตได้ภายในประเทศจะเพิ่มสูงขึ้น
  2. บริษัทนำเข้าในสหรัฐฯจะต้องแบกรับภาระภาษีในวงเงินที่อาจจะสูงกว่ากำไร
    ตัวอย่าง: บริษัทอเมริกันขายสินค้าราคา 100 เหรียญสหรัฐ สินค้านี้มีค่าใช้จ่าย (cost) 60 เหรียญสหรัฐ ค่าใช้จ่าย (expenses) ในการขายและการทำธุรกิจ 30 เหรียญสหรัฐ บริษัทได้กำไร 10 เหรียญสหรัฐ ภายใต้ border adjusted tax ถ้าสินค้านี้เป็นสินค้านำเข้าทั้งหมด จำนวนเงินที่บริษัทจะต้องนำมาใช้ในการคำนวนภาษีคือ 70 เหรียญสหรัฐ (cost 60 เหรียญฯและกำไร 10 เหรียญสหรัฐ) จำนวนภาษีที่บริษัทต้องจ่ายคือ 14 เหรียญฯในขณะที่บริษัททำกำไรได้เพียง 10 เหรียญสหรัฐ ในทางตรงกันข้ามหากไม่มีระบบ Border Adjusted Tax บริษัทสามารถใช้กำไร 10 เหรียญสหรัฐ เป็นฐานคำนวนภาษีในอัตราร้อยละ 20 ซึ่งเป็นอัตราใหม่ภายหลังการปฏิรูป บริษัทจะเหลือกำไร 8 เหรียญสหรัฐ
  3. สินค้าสหรัฐฯที่ผลิตนอกประเทศสหรัฐฯเมื่อถูกส่งกลับไปขายในสหรัฐฯจะมีราคาแพงมากยิ่งขึ้น
  4. รายได้จากการเก็บภาษีที่สูญเสียไปจากการกำหนดอัตราภาษีรายได้ธุรกิจสหรัฐฯให้ลดต่ำลงจากร้อยละ 35 เหลือร้อยละ 20 ที่มีประมาณการว่าจะมากถึง 1.8 ล้านล้านเหรียญสหรัฐ

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมต่างๆ

สินค้าที่จะได้รับผกระทบมากที่สุดคือสินค้าที่มีส่วนแบ่งมากที่สุดในตลาดนำเข้าสหรัฐฯ จากข้อมูลนำเข้าสหรัฐฯ ในปี 2007 พบว่าอุตสาหกรรมที่จะได้รับผลกระทบในทางลบมากที่สุดเรียงตามลำดับคือ

  1. เสื้อผ้าสำเร็จรูป
  2. คอมพิวเตอร์
  3. รถยนต์
  4. อุปกรณ์อิเลคโทรนิกส์
  5. โลหะ (primary metal)
  6. เฟอร์นิเจอร์
  7. สิ่งทอ
  8. พลาสติก
  9. ผลิตภัณฑ์เคมี
  10. ผลิตภัณฑ์กระดาษ
  11. อาหาร เครื่องดื่ม และยาสูบ

ปัจจุบันร้อยละ 95 ของสินค้าเสื้อผ้าสำเร็จรูปและรองเท้าที่วางจำหน่ายในตลาดสหรัฐฯเป็นสินค้าที่ผลิตในโรงงาน ผลิตต่างประเทศ Border Adjusted Tax จะทำให้สินค้าเหล่านี้ในตลาดสหรัฐฯมีราคาเพิ่มสูงขึ้นทันที

ตัวอย่าง: Gap ซื้อเสื้อสเวตเตอร์จากโรงงานในต่างประเทศในราคา 80 เหรียญสหรัฐ Gap บวกค่าใช้จ่ายต่างๆลงไปอีก 15 เหรียญฯและวางจำหน่ายเสื้อดังกล่าวในราคา 100 เหรียญสหรัฐ Gap ได้กำไร 5 เหรียญสหรัฐ ถ้า Gap จ่ายภาษีในอัตราเดิมที่ร้อยละ 35 Gap จะเสียภาษีเงินได้ 1.75 เหรียญสหรัฐจากกำไร 5 เหรียญสหรัฐ

แต่ถ้า Gap จ่ายภาษีตามอัตราที่ถูกปฏิรูปใหม่ที่ร้อยละ 20 Gapจะเสียภาษีเงินได้ 1 เหรียญสหรัฐจากกำไรค่าเสื้อ 5 เหรียญสหรัฐ ภายใต้ Border Adjusted Tax บริษัทฯ จะต้องเสียภาษีเงินได้อีก 16 เหรียญสหรัฐ จากค่าใช้จ่ายที่เป็นการผลิตนอกประเทศ 80 เหรียญสหรัฐ รวมเป็นภาษีทั้งสิ้นที่ Gap จะต้องเสีย 17 เหรียญสหรัฐ

ผู้นำเข้าสหรัฐฯ อาจจะผลักภาระค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นให้แก่ผู้บริโภคด้วยการขึ้นราคาสินค้า แต่สินค้าบางรายการรวมถึงเสื้อผ้าซึ่งเป็นสินค้าที่มีแนวโน้มราคาค้าปลีกตกต่ำมาโดยตลอดอาจจะประสบปัญหาในการขึ้นราคาสินค้า

ผลกระทบต่อบริษัทธุรกิจ

  1. ระดับความรุนแรงของผลกระทบขึ้นอยู่กับแหล่งที่มาของสินค้าและแหล่งที่ตั้งของผู้บริโภค
  2. บริษัทค้าปลีกสหรัฐฯที่ต้องพึ่งสินค้านำเข้าที่ผลิตนอกประเทศสหรัฐฯมาวางจำหน่ายให้แก่ผู้บริโภคสหรัฐฯ จะได้รับผลกระทบมากที่สุด
  3. บริษัทค้าปลีกในระดับ high end อาจจะได้รับผลกระทบลดลงเนื่องจากกลุ่มลูกค้าเป้าหมายมีความสามารถในการจ่ายเงินซื้อสินค้ามากกว่าผู้บริโภคกลุ่มอื่น
  4. บริษัทค้าปลีกที่เป็น off-price เช่น TJX Companise, Ross Stores และ Burlington อาจจะไม่ได้รับผลกระทบแต่จะได้รับประโยชน์เนื่องจากบริษัทเหล่านี้ทำการนำเข้าในระดับต่ำ
  5. บริษัทที่ผลิตสินค้าในสหรัฐฯและส่งออกไปจำหน่ายในตลาดต่างประเทศจะไม่ได้รับผลกระทบใดๆ
  6. บริษัทต่างชาติที่ผลิตสินค้าให้แก่บริษัทสหรัฐฯอาจจะเป็นผู้เสียประโยชน์อย่างแท้จริงจากระบบ border adjusted tax ของสหรัฐฯ และสหรัฐฯ อาจจะเผชิญหน้าจากการตอบโต้จากประเทศคู่ค้า

ขอขอบคุณรายงานจาก สำนักงานส่งเสริมการค้าในต่างประเทศ ณ นครลอสแอนเจลิส กรกฎาคม 2560

สามารถเข้าไปดูรายงานฉบับเต็มได้ที่นี่

234 views

Newsletter Subscription

สนใจรับข่าวสารและกิจกรรมที่เป็นโอกาสของไทย
Email Address
Secure and Spam free...
Go to Top