ปัจจุบันกลุ่มธุรกิจค้าปลีกสินค้าเครื่องสำอางในสหรัฐฯ ขยายตัวอย่างมาก โดยจะเห็นได้จากจำนวนสาขาร้านจำหน่ายปลีกสินค้าเครื่องสำอางที่เพิ่มจำนวนมากขึ้นอย่างต่อเนื่อง ทำให้ผู้ประกอบการค้าปลีกรายใหญ่ในตลาดสหรัฐฯ เริ่มให้ความสนใจทำตลาดสินค้าเครื่องสำอางมากขึ้น เพื่อดึงดูดกลุ่มผู้บริโภคโดยเฉพาะกลุ่มผู้บริโภครุ่นใหม่ในตลาด
แต่เดิมกลุ่มสินค้าเครื่องสำอางในตลาดสหรัฐฯ มักจะมีวางจำหน่ายภายในห้างสรรพสินค้าเป็นช่องทางหลัก แต่ในช่วงที่ผ่านมาเริ่มที่จะขยายตัวไปจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์มากขึ้น โดยเฉพาะในช่วงที่มีการแพร่ระบาดของโควิด-19 อย่างรุนแรงในสหรัฐฯ ซึ่งแน่นอนว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดได้ส่งผลกระทบยอดจำหน่ายสินค้าปลีกในตลาดให้ปรับตัวลดลงบ้าง แต่กลับพบว่า ผู้บริโภคในตลาดหันไปเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์มากยิ่งขึ้น และแนวโน้มการขยายตัวของตลาดออนไลน์น่าจะยังขยายตัวต่อเนื่องในอนาคต แม้ว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดจะดีขึ้นแล้ว
สินค้าประเภทเครื่องสำอางมีสัดส่วนกำไรค่อนข้างสูง ทำให้ผู้ประกอบการต่างพยายามที่จะแข่งขันกัน เพื่อแย่งชิงส่วนแบ่งตลาด อีกทั้งการส่งออกสินค้าเครื่องสำอางไปสหรัฐฯ ยังได้รับการยกเว้นภาษีนำเข้าเป็นการทั่วไป ทำให้สภาพการแข่งขันตลาดเครื่องสำอางสหรัฐฯ มีการแข่งขันที่ค่อนข้างรุนแรงมาก
สำหรับสัดส่วนการส่งออกสินค้าเครื่องสำอางของไทยในตลาดสหรัฐฯ แม้จะไม่มากนัก คิดเป็นสัดส่วนเพียงร้อยละ 0.49 ของมูลค่าการนำเข้าทั้งหมด แต่พบว่าในช่วงระหว่างเดือนมกราคม – กันยายน 2563 สหรัฐฯ กลับมีมูลค่านำเข้าสินค้าเครื่องสำอางจากไทยขยายตัวสวนทางกับตลาด โดยสหรัฐฯ มีมูลค่านำเข้าจากไทยเป็นมูลค่าทั้งสิ้น 15.28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือนำเข้าเพิ่มขึ้นร้อยละ 17.76 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2562 ซึ่งกลุ่มสินค้าเครื่องสำอางสำหรับทาปากมีอัตราการส่งออกขยายตัวเพิ่มขึ้นมากที่สุดร้อยละ 2,113.63 เป็นมูลค่าส่งออกทั้งสิ้น 3.21 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
ดังนั้น ผู้ประกอบการไทยที่สนใจทำตลาด อาจจะพิจารณาเริ่มต้นเจาะตลาดกลุ่มผู้บริโภคเฉพาะ เช่น เครื่องสำอางธรรมชาติ เครื่องสำอางสมุนไพร เครื่องสำอางสำหรับผู้ชาย และเครื่องสำอางที่ไม่ทดลองสินค้าในสัตว์ เป็นต้น เพื่อสร้างความแตกต่างให้เป็นจุดขายของสินค้า โดยเฉพาะการเลือกใช้สมุนไพรไทย ซึ่งเป็นสินค้าธรรมชาติที่มีคุณสมบัติโดดเด่นในการบำรุงผิว เช่น น้ำมันมะพร้าว และขมิ้น มาใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตยังน่าจะช่วยให้สามารถขยายตลาดได้มากขึ้น
นอกจากนี้ จากแนวโน้มความต้องการบริโภคสินค้ากลุ่มบำรุงและขัดผิว ที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองที่บ้าน ทำให้การพัฒนาชุดสินค้าสมุนไพรไทยสำหรับบำรุงและขัดผิว ยังน่าจะสามารถตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคได้ อย่างไรก็ตาม การประชาสัมพันธ์และให้ข้อมูลที่ถูกต้องและน่าเชื่อถือแก่ผู้บริโภค ทั้งในแง่ของผลประโยชน์ต่อสุขภาพและการใช้งานที่สะดวกยังเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ประสบความสำเร็จได้ในอนาคต
ข้อมูลการสำรวจตลาดจำหน่ายปลีกสินค้าเครื่องสำอางในสหรัฐฯ ของ The NPD Group พบว่า ยอดจำหน่ายสินค้าในไตรมาสที่ 3 ปี 2563 ปรับตัวลดลงร้อยละ 17 เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันกับปีที่ผ่านมา เหลือมูลค่าทั้งสิ้น 3.7 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยกลุ่มสินค้าเครื่องสำอางที่ยังคงมีศักยภาพในตลาด ได้แก่ สินค้าสำหรับตกแต่งเล็บ สินค้าสำหรับทำความสะอาดและขัดผิว และสินค้าน้ำหอม เป็นต้น
และจากข้อมูลดัชนีการใช้จ่ายผู้บริโภครายไตรมาสของ Salesforce ระบุว่า อุตสาหกรรมเครื่องสำอางสหรัฐฯ ไตรมาสที่ 3 ปี 2563 มียอดจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ ขยายตัวเพิ่มขึ้นร้อยละ 54 อันเนื่องมาจากมาตรการเว้นระยะห่างทางสังคมและการปิดเมือง ทำให้ผู้บริโภคหันไปเลือกซื้อสินค้าผ่านช่องออนไลน์แทน ทั้งนี้ ดูเหมือนว่ากลุ่มผู้ประกอบการแบรนด์เครื่องสำอางรายย่อยที่สามารถจัดส่งสินค้าตรงถึงผู้บริโภค ซึ่งมุ่งทำตลาดผ่านช่องทางออนไลน์เป็นหลัก เป็นกลุ่มที่ได้รับอานิสงค์จากแนวโน้มพฤติกรรมการเลือกซื้อสินค้าของผู้บริโภคมากที่สุด
ผู้เชี่ยวชาญในด้านธุรกิจการลงทุนให้ความเห็นว่า ผู้ใช้เครื่องสำอางมีพฤติกรรมในการเลือกซื้อสินค้าที่เปลี่ยนแปลงไป โดยผู้บริโภคบางส่วนไม่ต้องการให้เจ้าหน้าที่แนะนำสินค้า เข้ามามีส่วนเกี่ยวข้องในระหว่างการเลือกซื้อสินค้า หรือการแจกตัวอย่างสินค้าเครื่องสำอาง โดยเห็นว่าเจ้าหน้าที่แนะนำสินค้าตามห้างสรรพสินค้าอาจไม่ปลอดภัยต่อสุขภาพ และอาจเพิ่มความเสี่ยงให้ได้รับเชื้อไวรัสได้
สำหรับในระยะยาวหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนไทย ควรที่จะร่วมมือกันพัฒนาตลาดสินค้าเครื่องสำอางไทย ให้เป็นที่ยอมรับในตลาดสหรัฐฯ ในลักษณะเดียวกันกับสินค้าเครื่องสำอางจากประเทศเกาหลี (K-Beauty) และ ประเทศญี่ปุ่น (J-Beauty) ที่ได้รับความนิยมเป็นอย่างมากในตลาดสหรัฐฯ ปัจจุบัน
